จากระเบียบยกเลิกผมทรงนักเรียนเดิม ลามมาถึงการคัดค้านแต่งชุดนักศึกษาของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกิดเป็นข้อถกเถียงขึ้นในสังคม ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วย โดยยกเหตุอ้าง “เสรีภาพ” ฝ่ายหนึ่งต่อต้านด้วยเห็นว่าเสรีภาพที่ว่า “เกินขอบเขต” ที่ควรจะเป็น ร้อนแรงถึงขั้นท้าอาจารย์ให้ใส่เครื่องแบบมาทำการสอน เพื่อแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในสถาบัน เรื่องนี้คงต้องหันมาดูกระบวนการคิด และวิธีต่อสู้ของคนสองฝ่ายความคิดในรั้วมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ นักศึกษา มีความเป็นอิสระมากกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา สามารถทำอะไรได้ตามใจ เรื่องการใช้ชีวิต การกิน การเรียน การเที่ยว กระทั่งการแต่งกาย โดยเฉพาะสังคมโลกาภิวัตน์ ทำให้พฤติกรรมหรือนิสัยของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยเรียบง่าย ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒธรรม กลายเป็นคนทำทุกอย่างในสิ่งที่ตัวเองคิดและเชี่อมั่นว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ ในแบบที่มั่นใจว่า ตัวเองทำแล้วไม่กระทบผู้อื่น แต่ประเด็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพ คือประเด็นหลักในการถกเถียงสำหรับเรื่องนี้ว่า การแต่งกายแม้เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถแต่งอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับนักศึกษาที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของปัญญาชน ผู้มีความรู้ มีการศึกษา ผู้ที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ เห็นว่าควรแต่งให้ถุกต้องตามที่ควรจะเป็น ซึ่งดูเรียบร้อย ไม่เป็นภัยต่อตัวเอง แย้งต่อการแต่งกายที่นักศึกษามักแต่งตามแฟชั่น นุ่งสั้น วาบหวิว รัดรูป คือมุมมองและมิติของการผลลัพธ์การซักถามเรื่องนี้ถึงแม้ว่าการแต่งกายจะไม่สามารถตัดสินว่าคนๆ นั้นเป็นอย่างไร หลายคนบอกว่าถึงตนเองแต่งกายไม่ถุกระเบียบ แต่เขาก็ตั้งใจเรียน เป็นเรื่องปกติที่คนรุ่นนี้มักจะสนใจเรื่องการแต่งตัวตามสนัย ที่สามารภถเข้ากับเพื่อนได้ และได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนมากกว่าแต่งตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด… พฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา นับเป็นเรื่องจำเป็นควรศึกษา เพราะเกี่ยวเนื่องกับขนบวัฒนธรรม ค่านิยม ทัศนคติ ความเป็นเพศ ที่ส่งผลต่อสังคมส่วนรวมเถียงให้รู้เรื่อง ตอน “ขอบเขตความคิดและสิทธิเสรีภาพของนักศึกษา”คู่ถกเถียง : อั้ม เนโกะ ธรรมศาสตร์ พบกับ แพน พันธกร ศิษย์เก่า จุฬาฯนักวิชาการร่วมแสดงความเห็น : อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร และ อ.วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ติดตามรายการ “เถียงให้รู้เรื่อง” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 12.10 – 13.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/live