เผชิญหน้าคือหายนะ ร่วมมือ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์
ใช้โอกาสวันตรุษจีน พบปะหารือกันทางโทรศัพท์
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แห่งประเทศจีน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แม้ว่าจะเป็นการพูดคุยกันในฐานะผู้นำประเทศเป็นครั้งแรก แต่ประธานาธิบดีไบเดน และประธานาธิบดีสี ก็พบปะกันหลายครั้งตั้งแต่ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศมหาอำนาจทั้งคู่ ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2011 (พ.ศ. 2554) ขณะที่ไบเดน เป็นรองประธานาธิบดี และสี จิ้นผิง เป็นทายาททางการเมืองลำดับต้น ๆ เตรียมขึ้นตำแหน่งผู้นำจีน
ไบเดน ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ CBS News เมื่อเร็ว ๆ นี้ บอกว่า เขารู้จักคุ้นเคยประธานาธิบดีสี เป็นอย่างดี “ผมคิดว่าผมเคยใช้เวลากับประธานาธิบดีสี มากกว่าผู้นำโลกคนอื่น ๆ”
New York Times ตีความว่าการหารือกันทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีนเมื่อวันที่ 11 ก.พ.นี้ เป็นกลยุทธ์ “ความคุ้นเคยส่วนตัวของประธานาธิบดีไบเดน” (Personal Approach) เป็นหมุดหมายการเปลี่ยนแปลงการดำเนินยโยบายต่างประเทศของนายไบเดน ที่แตกต่างจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทีมที่ปรึกษาของเขาปฏิบัติต่อจีนในฐานะ “ภัยคุกคามทางยุทธศาสตร์” อันดับต้น ๆ ของสหรัฐฯ
“ผมไม่เดินตามแนวทางที่ทรัมป์ ทำไว้ แต่จะให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบระหว่างประเทศ”
ทำเนียบขาว สรุปสาระสำคัญของการหารือว่า ประธานาธิบดีไบเดน พูดถึงแนวปฏิบัติทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ ว่า มีความไม่เป็นธรรม การปราบปรามผู้ชุมนุมที่ฮ่องกง การละเมิดสิทธิมนุษยชนในมณฑลซินเจียง และความเข้มข้นในการปฏิบัติการในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไต้หวัน
นอกจากนี้ผู้นำทั้งสองยังหารือในประเด็นความมั่นคงทางสาธารณสุขของโลก การเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ และการป้องกันการแพร่กระจายอาวุธร้ายแรงต่อมนุษยชาติ
ทางด้านสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ประธานาธิบดีสี ยืนยันกับผู้นำสหรัฐฯ ว่า ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาป็นเรื่องภายในของจีน ที่เกี่ยวกับอธิปไตยบนดินแดนของจีน ดังนั้นสหรัฐฯ จึงควรเคารพในผลประโยชน์ และการกระทำของรัฐบาลจีน และระมัดระวังในประเด็นนี้
“เมื่อจีนและสหรัฐฯ ร่วมมือกัน ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ แต่หากทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกัน ก็เดือดร้อนด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นทั้งสองประเทศจึงควรร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของจีนและสหรัฐฯ และประชาคมโลก” ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าว
“การเผชิญหน้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ คือหายนะของทั้งสองฝ่ายและประชาคมโลก”